วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ถ้าไม่รู้จักอาหารเสริม.. ความตายอาจครอบงำคุณ


ถ้าไม่รู้จักอาหารเสริม.. ความตายอาจครอบงำคุณ

เรื่องราวจาก   http://therealidol.com/?boonying
 

" ... ถ้าไม่รู้จักอาหารเสริม.. ความตายอาจครอบงำคุณ หนังสือเรื่องนี้คือ เมื่อคุณหมอไม่รู้จักอาหารเสริมบำบัดโรค ความตาย อาจกำลังครอบงำคุณ "
 
เรื่องที่จริงซ๊อกโลก ความตายที่มากับยา…ใบสั่งยาอาจฆ่าคุณ ... นพ.เรย์ ดี สแตรนด์ (Ray D. Strand, M.D.) แพทย์ผู้เชียวชาญ และผู้แต่งหนังสือ เมื่อคุณหมอไม่รู้จักอาหารเสริม ความตายอาจ กำลังครอบงำคุณ และ ใบสั่งยา อาจฆ่าคุณ ทำการวิจัยเกือบ 10 ปี พบว่าคุณประโยชน์ของ "สารอาหารบำบัด" ที่มีคุณภาพสูง สามารถช่วยให้ร่างกายมีสมรรถภาพต่างๆ
 
คือ ทำไมต้องทานอาหารเสริม ทุกวันนี้คนเราเจอกับมลภาวะตั้งแต่ อากาศที่หายใจ อาหารที่รับประทาน น้ำที่ดื่มทุกวัน ก่อให้เกิดปัญหาอนุมูลอิสระสะสมในร่างกายเป็นประจำทุกวันแบบไม่รู้ตัว หนำซ้ำอาวุธที่มนุษย์มีไว้ต่อต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติก็ร่อยหรอลงไปทุกที
-จะหาผักผลไม้ปลอดสารพิษได้จากที่ไหน?
-แร่ธาตุในดินที่ลดลงไปเรื่อยๆ จะทำให้ผลไม้มีคุณค่าเพียงพอได้อีกกี่ปี?
-เศรษฐกิจซบเงินซื้อผลไม้ก็ดูจะกลายเป็นของฟุ่มเฟือยสำหรับบางครอบครัว
 
หลากหลายปัญหาที่ทำให้มนุษย์เป็นโรคเสื่อม ทั้งเกิดจากภายนอกและจากภายในคือความเครียดจากการทำงานก็ก่อให้เกิดปัญหากับ ระบบร่างกายเช่นเดียวกัน วันนี้อาจจะยังแข็งแรงอยู่ แต่ทุกอย่างมันกำลังก่อร่างสร้างตัวอยู่ในร่างกายของคุณนั่นเอง
 
เมื่อใดเม็ดเลือดขาวแพ้ เมื่อนั้นก็จะแสดงอาการออกมา สารอาหารบำบัดหรือที่ในบ้านเราเรียก กันว่า "ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร" นั้นดูหลายคนจะขยาดและอยากวิ่งหนีเมื่อได้ยินคำนี้เพราะทราบว่าต้องเสีย เงิน...
 
จริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการป้องกันและแก้ไขเราจากโรคเสื่อมต่างๆ ที่มีอันดับการตายเป็นอันดับ 1 - 10 อยู่ทุกๆ ปี เช่น โรคหัวใจ, โรคมะเร็ง, โรคไขข้อ, โรคหลอดเลือดอุดตัน, โรคเบาหวาน ฯลฯ อีกสารพัด
 
สาเหตุหลักที่เกิดโรคพวกนี้ขึ้นก็เพราะ "เซลอ่อนแอ" หรือ "เซลขาดอ็อกซิเจน" เพราะสู้รบกับอนุมูลอิสระไม่ไหวนั่นเอง จึงเป็นสาเหตุที่เราต้องมอง "สารอาหารบำบัด" เพื่อป้องกันโรคเสื่อมที่สะสมอยู่ในร่างกาย
 
ทำไมต้องใช้สารอาหารบำบัด ? นพ.เรย์ ดี สแตรนด์ (Ray D. Strand, M.D.) แพทย์ผู้เชียวชาญ และผู้แต่งหนังสือ เมื่อคุณหมอไม่รู้จักอาหารเสริม ความตายอาจ กำลังครอบงำคุณ และ ใบสั่งยา อาจฆ่าคุณ ทำการวิจัยเกือบ 10 ปี พบว่าคุณประโยชน์ของ "สารอาหารบำบัด" ที่มีคุณภาพสูง สามารถช่วยให้ร่างกายมีสมรรถภาพต่างๆ คือ
 
1. เพิ่มภูมิต้านทานโรค
2. เพิ่มศักยภาพให้ Antioxidant สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันความเสื่อม ความชรา และมะเร็ง
3. ลด ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคลมปัจจุบัน มะเร็ง ข้ออักเสบ ความเสื่อม ต้อกระจก อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน ภูมิแพ้ หืด โรคปอด โรคจากความเสื่อมเรื้อรัง
4. ช่วยรักษาโรคที่มีความเสื่อมเริ้อรัง
 
จากข้อมูลในหนังสือของคุณหมอเรย์ ดี สแตรนด์ ได้มีข้อมูลยืนยันว่า นักศึกษาแพทย์ได้เรียนทางด้านโภชนาการ หรือเรื่องสารอาหารน้อยมาก แค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น จากการเรียนแพทย์ถึง 6 ปี ส่วนใหญ่จะเรียนแต่เรื่องยากับการผ่าตัด ดังนั้นคุณหมอ 95% ในโลกนี้จะไม่มีความรู้เรื่องของอาหารเสริมเลย และจะบอกกับท่านว่า "ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ก็พอแล้ว"
 
ส่วนเหตุผลที่ควรจะทาน ให้ตอบคำถามเหล่านี้ดู ถ้า...คุณตอบว่า ใช่...! ในข้อใดข้อหนึ่ง คุณสมควรทาน "สารบำบัด"
1. คุณไม่ได้กินอาหารดีๆ มีประโยชน์ทุกมื้อ เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืช ผัก และผลไม้สดอินทรีย์ (ไร้สารพิษ 100%) เต้าหู้ สาหร่ายทะเล ปลา และอาหารทะเลไร้สารพิษ เป็นต้น
2. คุณไม่ได้ทานผักครบ 5 สีทุกมื้อ หรือทานผักผลไม้ครบ 2 กิโลกรัมทุกวัน (หรือ 80% ใน 1 วัน)
3. คุณทานอาหารเป็นประเภททอด ปิ้ง ย่าง ผัด เป็นส่วนใหญ่ และใช้ความร้อนกับน้ำมันพืชเกิน 60 องศาเซลเซียส (ก่อให้ เกิดอนุมูลอิสระมหาศาลตั้งแต่กระบวนการทำอาหาร จนถึงรับประทานเข้าไป)
4. คุณไม่ได้ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้งขึ้นไป
5. คุณอยากมี "สุขภาพดี 120 ปี ไม่มีป่วย" หรืออยากมีสุขภาพดี ดูดี อ่อนกว่าวัย 10 - 30 ปี
6. คุณไม่อยากเป็นเหมือนคนทั่วไป ที่มีความเจ็บป่วย พิการ
 
ดูเหมือนเป็นเรื่อง "ธรรมดา" ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น * อายุ 40 ปี เริ่มมีโรค เริ่มพบแพทย์ * อายุ 50 ปี มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ต้องกินยาตลอดชีวิต * อายุ 60 ปี ต้องนอนโรงพยาบาล เป็นมะเร็ง หรือผ่าตัด เสียเงินอีกหลายแสนบาท * อายุ 70 ปี ต้องนอนโรงพยาบาลนาน 2 - 3 เดือน หรือนอน ICU * อายุ 80 ปี พิการ อัมพาต นอนบนเตียงตลอดชีวิต หรือตาย
 
จริงๆ แล้วคุณสามารถป้องกันได้ทั้งหมด ด้วยการดูแลเซลให้แข็งแรงอยู่เสมอ กระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้คอยต่อต้านอนุมูลอิสระ ไม่ให้ส่วนไหนของร่างกายอ่อนแอ
 
แต่จะทำได้ "สารอาหารบำบัด" จึงจำเป็น เหตุผลในการเลือกกินผลิตภัณฑ์ "สารอาหารบำบัด" ของคนทั่วไป 5 อันดับแรก
1. ดีต่อสุขภาพ 25.5 %
2. แข็งแรงไม่เจ็บป่วยง่าย 24.0 %
3. มีภูมิต้านทานโรค 12.5 %
4. มีประโยชน์ต่อร่างกาย 9.0 %
5. ไม่อยากอ้วน/ควบคุมน้ำหนัก 4.0 %
การรักษาผู้ป่วยด้วยอาหารเสริมได้ผลดีในสหรัฐอเมริกา
 
นายแพทย์ เรย์ ดี.แสตรนด์ เป็นแพทย์ชาวสหรัฐอเมริกา ก่อนหน้านี้คุณหมอเรย์ ก็เหมือนหมอทั่วไป ที่ไม่เชื่อถือในคุณประโยชน์ของอาหารเสริม เมื่อคนป่วยมาถามว่า สมควรกินอาหารเสริมหรือไม่ คุณหมอเรย์ ก็ตอบอย่างไม่ลังเลว่า อย่ากินเลย เสียเงินเปล่าๆ อาหารที่เรากินเข้าไปทุกวันก็มีสารอาหารมากพอแล้ว ต่อมาคุณลิซ ภรรยาของคุณหมอเรย์ ล้มป่วยด้วยโรค เนื้อเยื่อแข็ง หรือ Fibromyalgia อาการที่คุณลิซเป็นคือ เหนื่อยมาก จนไม่สามารถแม้จะก้าวขาเดิน เจ็บปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทั้งภูมิแพ้ ไซนัส และปอดก็ติดเชื้อด้วย คุณหมอเรย์ ได้ ระดมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รักษาคุณลิซ ซึ่งเป็นภรรยาสุดความสามารถ แต่ดูเหมือนว่า อาการของคุณลิซ ยิ่งทรุดลงเรื่อยๆ ถึงขนาดลุกห่างจากเตียงไม่ได้ อาการหอบและภูมิแพ้ยิ่งกำเริบหนักมากยิ่งขึ้น ความพยายามของคุณหมอเรย์ ผู้เป็นสามีถึงทางตัน ไม่มีทางเยียวยารักษาคุณลิซ ผู้ภรรยาได้อีกแล้ว
 
โชคดี เพื่อนบ้านได้มาเยี่ยม และได้แนะนำคุณลิซ ให้รับประทานอาหารเสริม คุณลิซก็หมดหนทางแล้ว จึงปรึกษาคุณหมอเรย์ ผู้สามีว่า สมควรรับประทานอาหารเสริมดังกล่าวหรือไม่ คุณหมอเรย์ ซึ่งไม่เคยเชื่อถืออาหารเสริมมาก่อนได้บอกกับภรรยาว่า จะกินก็กินไปเถอะ เพราะไม่มีอะไรจะเสียมากกว่านี้แล้ว คุณลิซผู้ภรรยาได้ เริ่มกินอาหารเสริม ซึ่งระบุว่า มีสารอาหารประเภทวิตามินต่างๆ และ เบต้าแคโรทีน น่าประหลาดใจ หลังจากที่คุณลิซกินอาหารเสริมดังกล่าวเพียง 3 วัน อาการก็เริ่มดีขึ้น และดีขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ
 
ปรากฎการณ์ดังกล่าว สร้างความดีใจและสร้างความสับสนให้คุณหมอเรย์ ผู้สามีเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เพราะเขาไม่เคยเชื่อมาก่อนเลยว่า อาหารเสริมจะมีคุณค่าทำให้คนป่วยหายป่วยได้ ในฐานะที่เป็นแพทย์ คุณหมอเรย์ ยัง ไม่ปักใจเชื่อในคุณค่าอาหารเสริม เขาจึงโทรศัพท์ไปหาคนป่วยที่เขาเคยรักษาด้วยยาแผนปัจจุบัน แต่รักษาไม่หาย ให้กลับมารักษาใหม่ ซึ่งคนไข้ก็กลับมารับการรักษาใหม่
 
ในการรักษารอบใหม่ คุณหมอเรย์ ได้ ให้อาหารเสริมกับคนไข้ทุกคน ผลปรากฎว่า คนไข้ที่เคยรักษาไม่หาย แต่เมื่อให้อาหารเสริมควบคู่กับยาแผนปัจจุบัน อาการของคนไข้ทุกคนดีขึ้น จนถึงหายจากอาการป่วยไข้ที่เป็นมาแรมปี
 
เมื่อได้ข้อสรุปว่า อาหารเสริมสามารถช่วยคนป่วยให้หายป่วยได้จริงๆ คุณหมอเรย์ จึง เริ่มศึกษา ค้นคว้า ทดลอง หาสารอาหารที่อยู่ในอาหารเสริมว่ามีส่วนเกี่ยวพันกับสุขภาพของคนเราอย่างไร อย่างจริงจัง โดยใช้เวลาในการศึกษาวิจัยถึง 7 ปี
 
ในที่สุดก็ได้พบว่า อาหารเสริมที่สกัดจากพืชหรือสัตว์โดยปราศจากเคมี จะช่วยให้ผู้ป่วยหายป่วยได้จริง และคนปกติหากรับประทานอาหารเสริมเป็นประจำ ก็จะทำให้สุขภาพแข็งแรง ไม่เกิดการเจ็บป่วยง่ายๆ คุณหมอเรย์ จึงสรุปว่า ผู้ที่รับประทานอาหารเสริมที่มีสารอาหารสูง จะได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ ดังนี้
 
1. เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ทำให้ร่างกายต่อสู้กับโรคหรือเชื้อโรคต่างๆ ได้
 2. เพิ่มศักยภาพให้กับระบบต่อต้านอนุมูลอิสระ
3. ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
4. ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคลมปัจจุบัน
 5. ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง
6. ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคข้อต่ออักเสบ ความเสื่อมเฉพาะจุด และโรคต้อกระจก
 7. ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์ พากินสัน หอบหืด ปอด และโรคที่เกิดจากความเสื่อมของอวัยวะ ชนิดเรื้อรังอื่นๆ
8. พัฒนาการรักษาโรคที่เกิดจากความเสื่อมเรื้อรังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 
ขอขอบคุณเรื่องราวแบบย่อๆ ของคุณหมอเรย์ ดังกล่าว ปรากฎอยู่ในหนังสือชื่อ "เมื่อคุณหมอไม่รู้จักอาหารเสริมบำบัดโรค....ความตายอาจ...กำลังครอบงำคุณ"
 
เนื้อหาในหนังสือทั้งหมดเขียนโดย คุณหมอเรย์
และแปลเป็นภาษาไทย โดย พรหมพัฒณ ธรรมะรัตน์จินดา
ให้คำปรึกษาทางการแพทย์โดย นายแพทย์ยรรยงค์ ศรัทธาสิริ




.........................................................................................................................................................
สนใจธุรกิจหรือเรื่องราวของสินค้านวัตกรรมของ SOL
คลิ้กได้ที่
.........................................................................................................................................................
ชื่อ: บุญยิ่ง ฤกษ์อุดม
Tel.083-1258400
Line ID: boonying
               
 

วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ทำไมต้องทำธุรกิจเครือข่าย

ทำไมต้องทำธุรกิจเครือข่าย

มาเติมอาหารให้สมองกัน

ผู้ชายคนนึง
พอตื่นขึ้นมา เขาก็เปิดถังขยะ เอาขยะมาถูๆ ตัว
เท่านั้นยังไม่พอ เขาเดินตรงไปที่ท่อระบายน้ำ
เปิดฝาท่อ แล้วตักเอาน้ำเน่าในนั้นมาอาบ
เสร็จแล้วเขาก็ออกไปทำงาน

กลางวันเขารู้สึกตัวแห้งๆ ยังไม่รู้
ก็เลยหาน้ำถูพื้นของแม่บ้านมาราดตัวให้ชุ่ม
ตกเย็นกลับมาบ้าน
พอใกล้จะนอน เขายังเอาน้ำเน่าที่เหลือเมื่อเช้ามารดตัวอีกครั้ง
ก่อนจะหลับตาลงพร้อมกับความสงสัยทุกคืนว่า
"เมื่อไหร่ตัวข้าจะหอมซะทีวะ?"

ครับ! เป็นใครก็ต้องคิดว่าไอ้หมอนี่ท่าจะบ้า

ชายคนที่ผมพูดถึงไม่มีตัวตนจริงๆ หรอกครับ
แต่ถ้าผมจะบอกว่า
เราหลายคนอาจเผลอทำพฤติกรรมคล้ายๆ ผู้ชายคนนี้โดยไม่รู้ตัว
อ่ะจิงดิ?

เราตื่นขึ้นมาพร้อมกับเปิดดูข่าวร้ายๆ ลบๆ ในทีวี
นั่งจิบกาแฟหน้าหนังสือพิมพ์ที่พาดข่าวอาชญากรรม
ขึ้นรถเปิดวิทยุ คนจัดรายการประโคมข่าวเศรษฐกิจแย่ๆ ให้ฟัง
กลางวันเรานั่งนินทาเจ้านายกับเพื่อนร่วมงาน

กลับบ้านมา เราก็หลับไปพร้อมกับละครตบตีกัน
ที่วันๆ ตัวละครไม่ต้องทำงาน คิดแต่เรื่องแย่งสามีชาวบ้าน
แล้วเราก็ได้นอนสงสัยว่า
"ทำไมไม่มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับฉันบ้างวะ?"

ครับ! ก็ไม่รู้สินะ ชีวิตมันจะดีได้ไง
ในเมื่อเราเอาแต่ของแย่ๆ พลังงานลบๆ เข้าไปในความคิด

จากประสบการณ์ตรงของผม
"ชั่วโมงแรก" กับ "ชั่วโมงสุดท้าย" ของวันนั้น
เป็นอะไรที่สำคัญมาก
ชั่วโมงแรกจะเป็นดังหางเสือที่กำหนดอารมณ์ของวันนั้น
ชั่วโมงสุดท้ายจะเป็นตัวสรุปเรื่องราวของทั้งวันนั้น

ถ้าเราใช้กาแฟปลุกสมอง
ถ้าเราใช้อาหารปลุกร่างกาย
เราก็ต้องใช้ "เรื่องราวดีๆ" ปลุกพลังใจครับ

ซิก ซิกล่าร์ ปรมาจารย์ด้านความสำเร็จระดับโลก
พูดเรื่องนี้ไว้ได้ดีมากครับ
เขาถามว่า "คุณจะยอมให้ใครก็ไม่รู้ เดินเข้ามาในบ้าน
แล้วทิ้งขยะถุงใหญ่ไว้ในห้องนั่งเล่นในบ้านเรามั้ย?"

แน่นอนว่าไม่มีใครยอม
แล้ว ซิก ซิกล่าร์ ก็ปิดท้ายด้วยประโยคเด็ดว่า
"ถ้าคุณไม่ยอมให้ใครเอาขยะมาทิ้งในบ้าน
แล้วเรื่องอะไรคุณจะยอมให้ใครก็ไม่รู้เอาขยะมาทิ้งในจิตใจ?"

อ่านหนังสือดีๆ สักนิดยามเช้า
ฟังเพลงปลุกพลังสักหน่อย
แล้วก้าวออกจากบ้านพร้อมคำถามดีๆ ที่จะเป็นหางเสือของวันนี้ว่า
"วันนี้จะมีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้นกับฉันบ้างนะ?"

ถึงที่ทำงาน อยู่ให้ห่างจากคนที่ชอบจับกลุ่มกันบ่นๆๆ
ตั้งใจทำงานให้เต็มที่ เพราะเรามาทำงาน ไม่ได้มาเล่น
กลับบ้านมาหาอะไรเบาๆ ประเทืองปัญญา ปิดท้ายวัน
แล้วหลับไปพร้อมกับเรื่องราวดีๆ ในวันนี้ที่เราต้องขอบคุณ

อยากมีสุขภาพดี
เรายังพิถีพิถันเลือกอาหารที่จะเอามาใส่ปาก
อยากมีชีวิตที่ดี
เราก็ต้องพิถีพิถันเลือกสิ่งที่จะเข้าไปอยู่ในความคิดของเรา

ลองทำดูครับ
แล้วชีวิตคุณจะเปลี่ยนแบบที่จำตัวเองในอดีตไม่ได้เลย
เอาล่ะ เริ่มด้วยคำถามนี้เลย!
"วันนี้จะมีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้นกับฉันบ้างนะ?"

เป็นบทความที่ดีมากๆจากพี่บอย อยากให้หลายๆคนลองเปลี่ยนพฤติกรรมของการรับสิ่งต่างๆ เข้ามในชีวิตในแต่ละวัน ไม่รับเรื่องลบๆ เรื่องร้าย และหยุดการสนทนาเชิงลบ พูดนินทาคนอื่น พูดถึงคนอื่นในทางที่เสียหาย แล้วคุณจะพบว่าชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอนครับ
....
 
Credit บอย วิสูตร



.........................................................................................................................................................
สนใจธุรกิจหรือเรื่องราวของสินค้านวัตกรรมของ SOL


.........................................................................................................................................................
ชื่อ: บุญยิ่ง ฤกษ์อุดม
Tel.083-1258400
Line ID: boonying





 

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2558

แนวคิด คนรวย-คนจน

บทความน่าสนใจ
ผมคัดลอกมาจาก  http://therealidol.com/?boonying


" ... วันก่อนได้อ่านหนังสือเล่มเล็กๆ เล่มหนึ่ง เขียนโดย Keith Cameron Smith เรื่องความแตกต่างที่โดดเด่น 10 ข้อ ระหว่างคนรวยกับคนชั้นกลาง และเห็นว่ามันมีความเป็นจริงอยู่พอสมควรจากการสังเกตของผม ดังนั้น จึงขอนำมาเผยแพร่ เพื่อที่ว่าเราจะได้รู้ว่า เราอยู่ในด้านไหนของสังคม และจะต้องทำอย่างไร เพื่อที่ว่าเราจะได้ย้ายจากการมีแนวโน้มที่จะเป็นคนชั้นกลางสู่การเป็นคนรวย



ความแตกต่างข้อแรก ก็คือ "เศรษฐีคิดยาว แต่คนชั้นกลางคิดสั้น" แต่ว่าที่จริงคนที่คิดสั้นที่สุดก็คือ "คนจน" พวกเขามักจะคิดอะไรแบบวันต่อวันทำนองหาเช้ากินค่ำ คนชั้นกลางนั้นมักจะคิดเป็นเดือนต่อเดือน นั่นคือ คิดถึงวันเงินเดือนออก แต่คนรวยจะต้องคิดยาวเป็นปีๆ หรือเป็นสิบๆปี ในใจของคนจน เขามักคิดแต่เฉพาะเรื่องของความอยู่รอดเป็นหลัก ในขณะที่คนชั้นกลางคิดถึงเรื่องความสุขสบายจากการจับจ่ายใช้สอยสินค้า ส่วนคนรวย เป้าหมายของพวกเขาชัดเจน เขาต้องการความเป็นอิสระทางการเงิน การคิดยาวนั้นมีพลังมหาศาล เพราะมันจะทำให้เขาอดออม และลงทุนระยะยาวซึ่งจะทำให้เงินงอกเงยแบบทบต้นเป็นเวลานาน และนี่คือ สูตรสำคัญที่สุดในการที่จะทำให้คนมั่งคั่ง!!!
ข้อสอง คนรวยพูดเกี่ยวกับเรื่องไอเดีย คนชั้นกลางพูดเกี่ยวกับสิ่งของ และคนจนพูดถึงเรื่องของคนอื่น นี่คงไม่ได้หมายถึง ว่าคนรวยไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องของสิ่งของหรือคนอื่น แต่หมายถึงว่า คนรวยจะพูดถึงเรื่องของคนอื่นน้อยกว่าคนจน และมักจะเป็นคนที่มีแนวความคิดดีๆ หรือมีมุมมองต่างๆ มากกว่าคนชั้นกลางและคนจน เบื้องหลังของนิสัยในเรื่องนี้คงอยู่ที่ว่า คนรวยนั้นมักจะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนจนซึ่งมักจะชอบ “ซุบซิบนินทา” เป็นนิจสิน ในขณะที่คนชั้นกลางอาจจะเน้นการทำงานประจำ ชอบพูดถึงเรื่องรถยนต์ ดนตรี การพักผ่อนหย่อนใจ เป็นต้น
 
ข้อสาม คนรวยยอมรับการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางต่อต้านการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางรู้สึกว่า การเปลี่ยนแปลงจะคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ที่ตนเองเคยชิน ในขณะที่คนรวย คิดว่าการเปลี่ยนแปลงอาจนำมาซึ่งชีวิตที่ดีกว่า เขาคิดว่าในการเปลี่ยนแปลงมักมีโอกาสที่เขาอาจจะฉกฉวยได้ เบื้องหลังนิสัยนี้ อาจจะมาจากการที่คนรวย มีความมั่นใจสูงกว่าคนชั้นกลาง ที่มักจะกลัวว่าตนเองจะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งใหม่ๆ ได้

ข้อสี่ คนรวยกล้ารับความเสี่ยงที่ได้มีการพิจารณาและไตร่ตรองดีแล้ว คนชั้นกลางกลัวที่จะรับความเสี่ยง นี่เป็นนิสัยที่เป็นจุดอ่อนมากที่สุดของคนชั้นกลางในความเห็นของผม คนที่ไม่ยอมรับความเสี่ยงเลย จะพลาดที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีโดยสิ้นเชิง ขณะคนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่างที่ได้มีการศึกษามาเป็นอย่างดี จะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยที่ความเสี่ยงจริงๆ จะมีน้อยมาก ตัวอย่างที่ เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ คนชั้นกลางส่วนใหญ่ มักจะกลัวการลงทุนในหุ้น หรือตราสารการเงินที่มีความผันผวนของราคา โดยที่เขาไม่พยายามศึกษาว่าในระยะยาวแล้ว มันอาจจะมีความคุ้มค่ากว่าการฝากเงินในธนาคารมาก ในอีกมุมหนึ่ง คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่าง “บ้าบิ่น” เช่นคนที่เล่นหุ้นวันต่อวันเองก็ไม่ใช่นิสัยของคนรวย คนรวยต้องรับความเสี่ยงเฉพาะที่มีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว


ข้อห้า คนรวยเรียนรู้และเติบโตตลอดชีวิต คนชั้นกลางคิดว่าการเรียนรู้จบที่โรงเรียน นิสัยการเรียนรู้ไปเรื่อยๆ นี้ ผมคิดว่าเป็นหัวใจเศรษฐีจริงๆ เพราะในความรู้สึกของผม การเรียนรู้จากโรงเรียนเป็นเพียงพื้นฐาน ที่เรานำมาศึกษาต่อด้วยตนเองได้ และเวลาหลังจากการเรียนในโรงเรียนยาวมากเป็นหลายสิบปี ดังนั้นความรู้ส่วนใหญ่จึงควรที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เราเรียนจบจากโรงเรียน โดยนัยของข้อนี้ คนรวยจึงน่าจะมีนิสัยรักการอ่านหรือการหาความรู้ต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่คนชั้นกลาง พอเรียนจบก็มักจะไม่สนใจอ่านหนังสือหรือหาความรู้ใหม่ๆ ความรู้ที่ผมคิดว่าคนชั้นกลางพลาดไป เพราะไม่มีการสอนในโรงเรียน ก็คือ ความรู้ทางด้านการเงินที่คนรวย มักจะศึกษาต่อเพราะเห็นถึงความสำคัญและอาจนำไปสู่ความร่ำรวยได้


ข้อหก คนรวยทำงานเพื่อหากำไร คนชั้นกลางทำงานเพื่อจะได้ค่าจ้าง คนรวยมองว่านี่คือ หนทางที่จะทำให้รวยได้มากกว่า แม้จะมีความเสี่ยง ในขณะที่คนชั้นกลาง มักจะไม่กล้าเสี่ยง และอาจจะมีความคิดสร้างสรรค์น้อยกว่า จึงมุ่งไปที่การหางานที่จะมีรายได้แน่นอน แต่รายได้จากการใช้แรงงานของตนเอง มีน้อยคนที่จะทำให้ตนเองรวยได้


ข้อเจ็ด คนรวยเชื่อว่าพวกเขาต้องใจบุญสุนทาน คนชั้นกลางคิดว่าพวกเขาไม่มีปัญญาที่จะทำบุญ ข้อนี้ผมเองคงไม่มีคอมเมนท์อะไร ส่วนหนึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจเนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องของแต่ละคน ที่ไม่ค่อยบอก หรือรู้กันยกเว้นกรณีที่เป็นการบริจาคใหญ่ๆ อย่างกรณีของบัฟเฟตต์หรือบิล เกตส์


 
ข้อแปด คนรวย มีแหล่งรายได้หลากหลาย คนชั้นกลางมีเพียงหนึ่งหรือสองแหล่ง ข้อนี้ก็เช่นกัน ผมเองไม่แน่ใจว่าคนรวยมีรายได้จากหลายแหล่ง เพราะรวยแล้วจึงไปลงทุนในทรัพย์สินหลายๆ อย่าง หรือมีทรัพย์สินหลายอย่างจึงทำให้รวย แต่ที่ผมเห็นชัดเจนก็คือ คนชั้นกลางนั้น มักไม่ลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยง ทำให้รายได้มักจะมาจากเงินเดือนเป็นหลัก

ข้อเก้า คนรวยเน้นการเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่งของตนเอง คนชั้นกลางเน้นการเพิ่มของเงินเดือน เป้าหมายของคนรวยนั้นอยู่ที่ว่าตนเองมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน โดยมองที่ภาพรวม ดังนั้น ถ้าเขามีหุ้นอยู่ การที่หุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเขาก็มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นโดยที่เขาไม่ต้อง เสียภาษี แต่คนชั้นกลางพยายามทำงาน เพื่อให้มีเงินเดือนสูงขึ้นแต่เขาอาจจะลืมไปว่าเขาจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น ด้วย สรุปก็คือ คนรวยเน้นการลงทุนใช้เงินทำงานแทนตนเอง คนชั้นกลางเน้นการใช้แรงงานของตนเอง


สุดท้ายข้อสิบ คนรวยชอบตั้งคำถามที่เป็นบวกและสร้างกำลังใจ เช่น ฉันจะสร้างรายได้เป็นเท่าตัวในปีนี้ได้อย่างไร? ในขณะที่คนชั้นกลางชอบตั้งคำถามที่เป็นลบ และเสียกำลังใจ เช่น จะหาเงินมาจ่ายหนี้ค่าบัตรเครดิตเดือนนี้ได้อย่างไร ? และนั่นก็คือ ความแตกต่าง 10 ข้อระหว่างคนรวยกับคนชั้นกลางที่มีคนตั้งข้อสังเกตไว้ ซึ่งผมเชื่อว่าส่วนใหญ่น่าจะเป็นจริง แน่นอน คนรวยบางคนก็มีคุณสมบัติที่เป็นแบบคนชั้นกลาง และคนชั้นกลางจำนวนมากก็มีนิสัยแบบคนรวย แต่ถ้าเราอยากรวย ผมคิดว่าการยึดนิสัยแบบคนรวยน่าจะทำให้เรามีโอกาสมากกว่า..."






......................................................................................................................................................

สนใจธุรกิจหรือเรื่องราวของสินค้านวัตกรรมของ SOL



.........................................................................................................................................................
ชื่อ: บุญยิ่ง ฤกษ์อุดม
Tel.083-1258400
Line ID: boonying


 

 

วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2558

อันตรายจากขบวนการฟอกหน้าขาว

 
 
วันนี้ ผมขอนำเสนอ  บทความจากนักวิชาการอีกครั้ง ที่อาจจะทำให้พวกเรามีความรู้ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องสำอางค์หรือการใช้เครื่องมือแพทย์ ที่ทำให้หน้าขาว แล้วจะได้รู้ว่า ทำไมเราจึงควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและความปลอดภัย ในราคาที่ไม่แพง แบบ สินค้า SOL นะครับ
 
 
 

อันตรายจากขบวนการฟอกหน้าขาว

รองศาสตราจารย์ ดร.ภญ.พิมลพรรณ พิทยานุกุล
ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง โดยนิยามแล้วหมายถึงผลิตภัณฑ์สำหรับบำรุงผิว ปกปิดผิว เสริมแต่งผิวหนังให้มีสีสัน มีความปลอดภัย จะเริ่มใช้และเลิกใช้เมื่อไหร่ก็ได้ สามารถหาซื้อได้ทั่วไป แต่ปัจจุบันจะพบว่ามีผู้บริโภคบางส่วนได้รับอันตรายจากการใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางปลอม โดยเฉพาะอย่างยิ่งศูนย์บริการความงามที่เปิดกันมากมายทั่วเมือง มีทั้งนวดหน้า ขัดผิว ฟอกหน้าให้ขาวทันใจภายใน 3-7 วัน ส่วนใหญ่มักจะมีอุปกรณ์ไฮเทคทางการแพทย์ร่วมอยู่ด้วยเพื่อให้เกิดความทันสมัย ความแปลกใหม่ที่จะดึงดูดลูกค้าได้ หลายแห่งขาดผู้มีความรู้ที่แท้จริง ก่อให้เกิดปัญหาความเสียโฉมตามมา
  เครื่องมือไฮเทคกับการฟอกหน้าขาว
  • เซลล์ผิวโดยธรรมชาติจะมีการผลัดเปลี่ยนเซลล์ใหม่ทุกๆ 28 วันโดยที่เราไม่ต้องไปเร่งรัดหรือทำอะไรเลย เซลล์ผิวเก่าจะหลุดลอกและเซลล์ใหม่จะขึ้นมาแทนที่ แน่นอนเซลล์ผิวใหม่จะเปล่งปลั่งกว่าเซลล์เก่าที่เสื่อมโทรม ทำให้ภาพรวมผิวหนังแลดูอิ่มเอิบและขาวนวล เมื่อเซลล์ผิวมีอายุมากขึ้นบวกกับการได้กระทบกับสิ่งแวดล้อม เช่น ฝุ่นละออง รังสีดวงอาทิตย์ และสารเคมี ผิวหนังจะมีปฏิกิริยาปกป้องตัวเองโดยเอนไซม์ใต้ผิวหนังชื่อ “ไทโรซิเนส” จะกระตุ้นให้ผิวหนังสร้างเม็ดสีทำให้ผิวหนังมีสีเข็มขึ้น ผลิตภัณฑ์ช่วยให้หน้าขาวหรือครีมหน้าขาว ครีมหน้าใส ที่มีจำหน่ายโดยทั่วไป มีองค์ประกอบหลักคือสารยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ดังกล่าว เพื่อมิให้มีการสร้างเม็ดสี แต่ผู้บริโภคต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่า ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางได้ถูกออกแบบมาให้ปลอดภัย ดังนั้นจึงจะให้ผลในระยะยาว เพราะเป็นการบำรุงผิว ไม่ใช่เห็นผลได้ใน 3 วัน 7 วัน เนื่องจากไม่ใช่ยารักษาโรค
  • การทำงานของสารกลุ่มช่วยให้หน้าขาว หน้าใส จะมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ และมักจะมีองค์ประกอบของสารช่วยเร่งรัดการลอกเซลล์ผิวร่วมอยู่ด้วย มีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อนเช่นกัน ตัวอย่างเช่น กรดแลคติค กรดซาลิไซลิค เวลาพอกหน้าในปริมาณมากๆ ทำให้ผิวหน้าคันและแสบได้ ควรทาบางๆ เว้นรอบดวงตา ศูนย์บริการความงามทั้งหลายที่มีอุปกรณ์ไฮเทคที่เรียกว่า “ไอออนโฟเรซิส” ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อให้กระแสไฟอ่อนๆกับผิวหนัง ทำให้กรดและเคมีที่พอกอยู่เข้าสู่ผิวอย่างรวดเร็วในปริมาณที่อาจจะมากเกินไปสำหรับคนที่มีปัญหาผิวหนังเป็นทุนเดิม สิ่งที่ตามมาคืออาการอักเสบของเซลล์ผิวคล้ายโดนน้ำกรดสาด นอกจากนี้ยังมีการใช้อุปกรณ์ไฮเทคอีกชนิดร่วมด้วยคือ “โฟโนโฟเรซิส” เป็นอุปกรณ์ที่ใช้นวดผิวหนังโดยใช้คลื่นความถี่สูงกระตุ้นผิวหนัง แรงสั่นสะเทือนทำให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังขยาย รูขุมขนขยาย เพื่อวัตถุประสงค์เสริมให้สารเคมีที่ต้องการเข้าสู่เซลล์ผิวได้เร็วยิ่งขึ้น
  • เครื่องมือไฮเทคทางการแพทย์ที่กล่าวมานั้นออกแบบมาเพื่อให้แพทย์เป็นผู้พิจารณาความเหมาะสมในการใช้งานเพื่อนำส่งตัวยาสำคัญเข้าสู่ผิวหนังสำหรับรักษาโรค การนำมาประยุกต์ใช้ในด้านความงาม ควรจะมีผู้รู้เฉพาะทางร่วมอยู่ด้วยเพื่อความปลอดภัยต่อผู้บริโภค และการดูแลผิวก็ไม่ใช่เรื่องราวของระยะเวลาเพียง 3 วัน 7 วันตามที่เห็นในโฆษณา ต้องสม่ำเสมอและค่อยเป็นค่อยไป เพราะผิวหน้าไม่ใช่กระดาษ จะใช้น้ำยาลบคำผิดมาป้ายออกทันทีไม่ได้ สารเคมีที่รุนแรงและมากเกินไปอาจทำให้เสียโฉมได้
  • ผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ใช้พอกหน้าพอกตัว ก็มีอันตรายได้หากได้มาอย่างไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เพราะสมุนไพรสดนั้นเป็นอาหารเชื้อจุลินทรีย์อย่างดีทำให้เชื้อเจริญเติบโตได้รวดเร็ว เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ผิวหนังมีแผลเปิด และหากผลิตภัณฑ์มีการใส่สารกันเสียมากเกินไป ผลเสียคือทำให้ผิวหน้าแพ้ คันและอักเสบได้ ผู้เขียนเองได้เคยไปทดลองใช้บริการพอกตัว (โชคดีที่ไม่กล้าเสี่ยงพอกหน้าด้วย) ที่ศูนย์บริการความงามด้วยสมุนไพรยี่ห้อดังเพื่อเก็บข้อมูลทางวิชาการ ผลคือมีอาการแพ้ คันไม่ทราบสาเหตุ เป็นตุ่มแดงทั่วตัวจนถึงรอบคอ (ผิวหนังทั่วตัวที่สัมผัสผลิตภัณฑ์สมุนไพร) ต้องใส่เสื้อแขนยาวปิดคอไปทำงานอยู่เป็นอาทิตย์ คาดว่าน่าจะเกิดจากองค์ประกอบในผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม เช่น อาจมีองค์ประกอบของสารกันเสียมากเกินไป หรือมีการผสมผสานเคมีอื่นลงไปในสมุนไพรของผู้ให้บริการฯอย่างไม่มีความรู้
เครื่องสำอางอันตรายกับหน้าขาว

เมื่อกล่าวถึงการฟอกหน้าขาว ก็ไม่ลืมที่จะเตือนผู้บริโภคถึงอันตรายของผลิตภัณฑ์ที่มีองค์ประกอบของสารต้องห้าม เช่น ปรอท ไฮโดรควิโนน (hydroquinone) และสารสเตียรอยด์ สารต้องห้ามเหล่านี้ยังพบในผลิตภัณฑ์หน้าขาวที่แอบวางจำหน่ายทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งตามชานเมือง สังเกตุได้ง่ายเมื่อทาครีมเหล่านี้ลงบนใบหน้าเพียง 1-2 สัปดาห์ ผิวหน้าจะผ่อง สิวฝ้าจะจางลงอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ หน้าจะเริ่มไหม้ดำและค่อยๆแผ่วงกว้างขึ้น ควรรีบหยุดใช้และไปปรึกษาแพทย์ผิวหนัง

สารต้องห้ามและเป็นอันตรายทำให้หน้าเสียโฉม ที่ตรวจพบในเครื่องสำอางต้องห้าม ผิดกฏหมาย ที่ อย.สุ่มตรวจพบ
  1. สารไฮโดรควิโนน มีคุณสมบัติในการฟอกสีผิว (Skin bleaching agent) เป็นสารที่เคยอนุญาต ให้ใช้ในครีมแก้ฝ้า แต่ภายหลังพบว่า สารไฮโดรควิโนน ทำให้เกิดการระคายเคือง และจุดด่างขาวที่หน้าผิวหน้าดำ เป็นฝ้าถาวรรักษาไม่หาย (ochronosis หรือ defiguring effect) นอกจากนี้พบว่า สารไฮโดรควิโนน มีความเป็นพิษ โดย พบว่ามีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ และก่อมะเร็งในหนู สารไฮโดรควิโนน ถูกกำหนดเป็นสารห้ามใช้ในผลิตภัณฑ์สำหรับใบหน้า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 ตาม พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2535

    *** บทความ "อันตรายของครีมหน้าขาว ที่ผสมไฮโดรควิโนน :

    http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/14/อันตรายของครีมหน้าขาวที่ผสมไฮโดรควิโนน"
  2. กรดเรทิโนอิก (retinoic acid) เป็นสารที่ช่วยให้เกิดการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนัง และหลุดลอก ได้ (peecling agent) จึงช่วยให้สิวเสี้ยนและผิวหนังที่หยาบกร้านหลุดลอกออกง่าย ขึ้นทำให้ผิวผ่องใสและนุ่มเนียน โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับ สารไฮโดรควิโนน จะช่วยให้ สารไฮโดรควิโนน ซึมเข้าสู่ผิวหนังและออกฤทธิ์ได้มากกว่าปกติ ความเป็นพิษ คือ ทำให้หน้าแดง และแสบร้อนรุนแรง เกิดการระคายเคือง อักเสบ แพ้แสงแดดหรือแสงไฟได้ง่าย เป็นอันตรายต่อทารก ในครรภ์ กรด เรทิโนอิก ถูกกำหนดเป็นสารห้ามใช้ในเครื่องสำอาง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 และเป็นสารห้ามใช้ลำดับที่ 375 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง ตามที่ปรากฏใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 125 ตอนพิเศษ 80 ง ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2551
  3. ปรอทแอมโมเนีย ออกฤทธิ์รบกวนการทำงานของเอนไซม์ tyrosinase ทำให้ ลดการสร้างเม็ดสีผิว เมลานิน จึงช่วยให้ผิวขาวขึ้น ปรอทแอมโมเนีย มี ฤทธิ์ฆ่า เชื้อแบคทีเรีย ชนิด staphylococcus จึงป้องกันสิวได้ด้วย ปรอทแอมโมเนียสามารถทำลายไต ระบบประสาท เยื่อบุและทางเดินหายใจ การใช้ปรอทแอมโมเนียติดต่อกัน เป็นเวลานานจะทำให้เกิดพิษสะสมของสารปรอทในผิวหนัง และดูดซึมเข้าสู่กระแส โลหิต ทำให้ตับและไตอักเสบ เกิดโรคโลหิตจาง ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ทำลายสี ของผิวหนังและเล็บมือ ทำให้ผิวบางขึ้นเรื่อยๆ เกิดการแพ้หรือเป็นแผลเป็นได้ มี ความเป็นพิษเฉียบพลัน ถูกกำหนดเป็นสารห้ามใช้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 และเป็นสารห้ามใช้ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสม ใน การผลิตเครื่องสำอาง ลำดับที่ 221 ตามที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 125 ตอน พิเศษ 80 ง ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2551 โดยกำหนดชื่อสารห้ามใช้ คือ “ปรอท และสารประกอบของปรอท”


จากผลการตรวจวิเคราะห์ของกองเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย ในปีงบประมาณ 2547 ถึง มิถุนายน 2551 พบว่า สารห้ามใช้ที่ตรวจพบมากที่สุด คือ
  • ปรอทแอมโมเนีย โดยตรวจพบ ร้อยละของตัวอย่างที่ตรวจวิเคราะห์ทั้งหมด ดังนี้ ร้อยละ 14 (71 จาก 501 ตัวอย่าง), ร้อยละ 19.6 (62 จาก 317 ตัวอย่าง) ร้อยละ 10.6 (43 จาก 405 ตัวอย่าง), ร้อยละ 16.9 (90 จาก 531 ตัวอย่าง) และ ร้อยละ 8.5 (42 จาก 493 ตัวอย่าง) ตามลำดับ
  • รองลงมาคือ ตรวจพบสารไฮโดรควิโนน รวมกับกรดเรทิโนอิก และพบตัวอย่างที่มี สารไฮโดรควิโนน หรือ กรดเรทิโนอิกอย่างเดียว รองลงมาตามลำดับ


    เอกสารอ้างอิง
    1. รศ.ดร.ภญ.พิมลพรรณ พิทยานุกุล ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล (จากวารสารฉลาดซื้อ คอลัมน์สวยอย่างฉลาด มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภคแห่งประเทศไทย) http://webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_cosmetic/news/cos_0951/cos_1002.htm
    2. ศูนย์ข้อมูลเครื่องสำอาง กองเครื่องสำอางและวัตถุอันตรายhttp://webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_cosmetic/news/
    http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/203/การฟอกหน้าขาว-อันตราย/


    .........................................................................................................................................................
    สนใจธุรกิจหรือเรื่องราวของสินค้านวัตกรรมของ SOL

    .........................................................................................................................................................
    ชื่อ: บุญยิ่ง ฤกษ์อุดม
    Tel.Tel.083-1258400
    Line ID: boonying

    วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558

    ชี้แจง-แถลงไข ... เรื่อง sol


    เรียนทุกๆท่าน ครับ

    ผมขออนุญาตชี้แจง ในฐานะนักธุรกิจ SOL ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง

    เนื่องจากผมและทีมงาน ทำงานพื้นฐานอย่างต่อเนื่องและมีคำถามมากมายเกี่ยวกับ SOLจึงขอให้ข้อมูลที่ถูกต้อง รายละเอียด ดังนี้

    1.โซล คอร์ปอเรชั่น (SOL.CO.TH) ยังคงเปิดบริการทุกสาขาทั่วประเทศ ทุกวันอังคาร ถึงวันอาทิตย์ ส่วนในพื้นที่ กทม.ย้ายจากตึกเทรนดี้และสุขุมวิท 71 ไปที่ SOL Gallery W-DISTIC สุขุมวิท69 ติดกับ BTS พระโขนง

    2.ผลิตภัณฑ์SOL ไม่มีการเปลี่ยนแปลงบรรจุภัณฑ์ หรื่อเปลี่ยนชื่อสินค้าแต่อย่างใด ยังคงใช้แบบเดิมทุกอย่าง ทุกรายการ

    ซึ่งในขณะนี้เพิ่มช่องทางการสั่งสินค้าออนไลน์ได้ที่ www.sol.co.th หรือผ่าน Mobile Appliction สามารถโหลดมาติดตั้งบนมือถือได้เลย
    Android :    https://play.google.com/store/apps/details?id=com.bzbs.sol

    ส่วน iOS หรือ Apple น่าจะได้ใช้เร็วๆนี้ครับ

    3.สำหรับนักธุรกิจ SOL ที่ยังคงทำธุรกิจอยู่แต่ขาดโค้ชดูแล ผมยินดีให้คำปรึกษา หรือให้ท่านติดต่อบริษัทโดยตรง หรือผู้นำในพื้นที่ได้เลย ท่านจะมีโค้ชคอยช่วยดูแลตลอดเส้นทางความสำเร็จแน่นอน

    4.สำหรับท่านที่สนใจสมัครสมาชิก หรือเคยเป็นสมาชิกแต่หมดอายุแล้ว ผมยินดีอำนวยความสะดวกให้ในเรื่องของการสมัครสมาชิกหรือสั่งซื้อสินค้า หรือ ให้ข้อมูล ต่างๆ ครับ

    ยินดีต้อนรับเช้าสู่ครอบครัว sol ครับ

    ธุรกิจกับจิตใจ ต้องไปด้วยกัน

    .........................................................................................................................................................
    สนใจธุรกิจหรือเรื่องราวของสินค้านวัตกรรมของ SOL

    .........................................................................................................................................................
    ชื่อ: บุญยิ่ง ฤกษ์อุดม
    Tel.083-1258400
    Line ID: boonying





    อเมริกันฟุตบอล กับ งาน

    หลายๆท่าน คงไม่มีใครทราบว่า นอกจาก เป็นแฟน ฟุตบอลที่ใช้เท้าเตะแล้ว ผมก็เป็นแฟนอเมริกันฟุตบอลที่ติดตามเวลาแมตช์ใหญ่ๆอย่าง Super Bowl อยู่เกือ...